วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556

พฤติกรรมที่ทำให้สุนัขเสียนิสัย



พฤติกรรมีที่ทำให้ "เสียหมา"

เวาจะเลือกรับสุนัขมาเลี้ยงซักตัว จะมีวิธีดูอุปนิสัยของเขายังไง จะรู้ได้ยังไงว่าเขานิสัยดีรึเปล่า? ...
     เป็นคำถามที่ตอบยากมากๆ จะว่าไปก็เหมือนคนเราเพิ่งเจอหน้ากัน แน่นอนว่าเราอาจจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคนคนนั้นจะมีนิสัยเป็นยังไง ในน้องหมาก็เช่นเดียวกัน เราอาจจะไม่สามารถรู้ได้แน่ชัดในครั้งแรกที่เราเห็นสุนัขตัวนั้น จะมีลักษณะนิสัยอย่างไร สอนยากหรือไม่ อาจจะทำได้ดีที่สุดโดยการสืบประวัติสุนัขว่าพ่อแม่ของเขามีนิสัยเป็นอย่างไร เพื่อใช้ประเมินพฤติกรรมของเขา แต่นั่นก็ไม่สามารถบอกได้ 100% หรอกค่ะว่า สุนัขตัวนั้นจะมีนิสัยดีหรือไม่ เพราะนอกเหนือจากเรื่องของพันธุกรรมของสุนัขแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่ออุปนิสัยของสุนัข เช่น สิ่งแวดล้อม  สุขภาพ หรือ การเลี้ยงดู
     ปัจจัยสุดท้ายดูเหมือนจะเป็นปัจจัยที่มีผลต่ออุปนิสัยของสุนัขมากที่สุด เพราะวิธีการเลี้ยงดูของผู้เลี้ยงย่อมส่งผลโดยตรงทั้งต่อสุขภาพกาย และสุขภาพจิตของสุนัข เราเลี้ยงสุนัขด้วยวิธีแบบไหน เขาก็จะมีนิสัยแบบนั้น สุนัขในคอกเดียวกัน ถูกนำไปแยกกันเลี้ยง พฤติกรรมและอุปนิสัยต่างๆ ก็อาจจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของผู้เลี้ยงและวิธีการเลี้ยงสุนัขว่าผู้เลี้ยงปฏิบัติต่อเขาอย่างไร และเลี้ยงเขาด้วยความเข้าใจจริงๆ หรือเลี้ยงโดยเอาความรู้สึกของมนุษย์ตัดสิน
     หลายครั้งพบว่า สุนัขที่มีปัญหาทางด้านพฤติกรรมมีที่มาของปัญหามาจากการเลี้ยงดูที่ผิดวิธี โดยที่ผู้เลี้ยงเองก็ไม่รู้ว่าการเลี้ยงสุนัขแบบที่เป็นอยู่นั้นส่งผลให้น้องหมามีปัญหาในด้านพฤติกรรม และเมื่อไม่รู้ที่มาของปัญหาแล้วก็ทำให้ไม่สามารถหาทางแก้ไขปัญหานั้นได้ ทำให้ในระยะยาวไม่เป็นผลดีต่อทั้งตัวผู้เลี้ยงเองและตัวสุนัขด้วย

1. ชอบอุ้ม ชอบโอ๋ น้องหมาส่วนใหญ่แล้วพฤติกรรมนี้มักพบมาในผู้เลี้ยงที่เลี้ยงสุนัขพันธุ์เล็ก โดยธรรมชาติของสุนัขพันธุ์เล็ก พวกเขามักจะมีนิสัยขี้อ้อนและติดเจ้าของเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บางครั้งสุนัขบางตัวชอบร้องคราง หรือเห่าเสียงดังเวลาถูกทิ้งให้อยู่ตัวเดียว หรือเมื่อเวลาที่ต้องการของบางสิ่งบางอย่าง (เช่น ขนม ของกิน ของเล่น) ซึ่งผู้เลี้ยงสุนัขหลายคนรู้สึกว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็นพฤติกรรมที่น่ารักน่าเอ็นดู เวลาสุนัขมีพฤติกรรมแบบนี้ก็มักจะอุ้มขึ้นมากอดขึ้นมาโอ๋เพื่อให้หยุดร้อง หยุดเห่า หรือเวลาที่ผู้เลี้ยงพาออกไปนอกบ้าน สุนัขอาจจะไปเห่าหรือขู่สุนัขแปลกหน้า ผู้เลี้ยงส่วนใหญ่ก็กลัวว่าจะถูกกัดก็มักจะอุ้มขึ้นมากอดไว้ ซึ่งนั่นถือว่าเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะการที่อุ้มขึ้นมาในขณะที่เขายังเห่า ขู่ ตัวอื่นอยู่นั้นจะยิ่งเป็นการส่งเสริมให้สุนัขมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวรุนแรงมากยิ่งขึ้น เพราะตามจิตวิทยาแล้ว การที่สุนัขตัวหนึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าอีกตัวหนึ่ง จะทำให้ตัวที่อยู่สูงกว่าเข้าใจว่าเขายิ่งใหญ่หรือมีตำแหน่งที่สูงกว่าตัวที่อยู่ต่ำกว่า
     นอกจากนี้ การอุ้ม การปลอบ สุนัขเหมือนเป็นการสนับสนุนชื่นชมการกระทำของเขา ณ ขณะนั้นว่าเป็นสิ่งถูกต้อง และเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ผลเสียที่จะตามมาก็คือ เวลาออกไปนอกบ้านสุนัขอาจจะไปแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวใส่สุนัขแปลกหน้า และอาจจะถูกทำร้ายได้
     ดังนั้นถ้าผู้เลี้ยงคนไหนรู้ตัวว่าชอบอุ้ม ชอบโอ๋ เวลาที่เขาเห่าหรือร้องครางเสียงดังเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ ควรเลิกพฤติกรรมนี้ทันทีเลยนะคะ เพราะอย่างที่บอกค่ะว่าการอุ้ม การโอ๋ จะเป็นการส่งเสริมให้สุนัขมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมรุนแรงมากขึ้น

ตามประสาคนรักสุนัขเวลาผู้เลี้ยงกินอะไร แล้วสุนัขมานั่งจ้องตาแป๋ว หรือร้องครางหงิงๆ ผู้เลี้ยงก็มักจะอดใจอ่อนไม่ได้ต้องยอมแบ่งอาหารที่กำลังกินอยู่ให้ มองดูเผินๆ แล้วพฤติกรรมการเลี้ยงแบบนี้ก็ไม่ได้ดูเลวร้ายอะไร เพราะก็เป็นเหมือนการแสดงความรักที่ผู้เลี้ยงมีให้ แต่จริงๆ แล้วพฤติกรรมการแบ่งอาหารให้สุนัข ขณะที่ผู้เลี้ยงกำลังกินอาหารอยู่นั้น จะเป็นการสร้างนิสัยและความเข้าใจที่ผิดให้สุนัข
     การแบ่งอาหารให้ในขณะที่ผู้เลี้ยงกินอาหารอยู่ ในทางจิตวิทยาพฤติกรรมนี้จะส่งเสริมให้สุนัขเข้าใจว่า ตัวเองมีอำนาจอยู่ในระดับเดียวกับผู้เลี้ยง เพราะสามารถแสดงพฤติกรรมที่ทำให้ผู้เลี้ยงยอมแบ่งอาหารให้แก่ตัวเองได้
     ทั้งนี้ โดยธรรมชาติการอยู่รวมกันเป็นฝูงของสุนัข ตัวที่เป็นจ่าฝูงจะได้กินอาหารก่อนตัวอื่นๆ ถ้าหากผู้เลี้ยงเข้าใจกฏในฝูงข้อนี้แล้ว เจ้าของก็สามารถนำมาปรับใช้กับหมาของตัวเองได้โดยการที่ก่อนจะให้อาหาร ผู้เลี้ยงและสมาชิกในครอบครัวจะต้องกินอาหารให้เรียบร้อยก่อน หรืออย่างน้อย ก็ควรจะกินของว่าง หรือขนม ให้สุนัขเห็นก่อนว่า จ่าฝูงกินแล้ว ต่อไปลูกฝูงถึงจะได้กิน
     และอีกสิ่งที่ต้องทำห้ามละเลยเด็ดขาดก็คือ ระหว่างผู้เลี้ยงกินอาหาร ไม่ควรส่งอาหารบนโต๊ะให้เป็นอันขาด ผู้เลี้ยงจะต้องใจแข็ง และไม่ยอมใจอ่อนตามสายตาเว้าวอนของสุนัข โดยเหตุผลที่ต้องห้ามยื่นอาหารบนโต๊ะให้ก็เพราะว่า การที่ผู้เลี้ยงยื่นอาหารของตนให้ก็เหมือนกับว่า สุนัขมีอำนาจมากกว่าผู้เลี้ยง สามารถบังคับให้ผู้เลี้ยงแบ่งอาหารให้ตนเองได้ 

บ่อยครั้งที่เรามักพบว่าเหล่าคนเลี้ยง เลี้ยงสุนัขประหนึ่งลูกสาว - ลูกชาย ประคบประหงมเลี้ยงดูอย่างดีถึงขึ้นที่ให้นอนร่วมเตียงเดียวกัน ในมุมของคนรักสุนัขก็ดูเป็นภาพที่อบอุ่นดี แต่ถ้าหากมองถึงในเรื่องพฤติกรรม เราจะต้องไม่ลืมว่าโดยสัญชาตญาณแล้ว สุนัขเป็นสัตว์ที่มักจะแสดงความเป็นเจ้าของในบริเวณอาณาเขตของตัวเอง การที่ผู้เลี้ยงปล่อยให้กระโดดขึ้นไปนอนเล่นบนเตียงได้ตามใจชอบ หรือปล่อยให้นั่งอยู่ในพื้นที่ที่เสมอกับผู้เลี้ยง นั่นแสดงว่า สุนัขกำลังมีพฤติกรรมแสดงตัวอยู่เหนือเจ้าของซึ่งถ้าหากปล่อยไว้ในระยะยาว ปัญหาที่จะเกิดขึ้นแน่นอนคือ สุนัขจะไม่เคารพในอำนาจความเป็นจ่าฝูงของผู้เลี้ยง ทำให้ผู้เลี้ยงไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของสุนัขได้ ไม่เพียงแค่อาจจะยึดเตียงหรือโซฟาของผู้เลี้ยงเป็นอาณาเขตของตัวเอง และข่มขู่เมื่อมีผู้เข้ามาในบริเวณนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่ผู้เลี้ยงไม่ควรให้สุนัขมีอิสระในการเลือกพื้นที่อยู่มากจนเกินไป เจ้าของควรเป็นผู้กำหนดว่า พื้นที่บริเวณไหนที่สามารถเข้าไปได้ และพื้นที่บริเวณไหนที่ห้ามเข้าไปยุ่ง     
มีผู้เลี้ยงสุนัขหลายคนมีความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับการจับสุนัขขังกรงหรือล่ามเอาไว้ตลอดเวลาว่าจะช่วยแก้ปัญหาความวุ่นวายต่างๆ ที่สุนัขก่อขึ้นได้ การใช้วิธีนี้แก้ปัญหาพฤติกรรมสุนัขเป็นเหมือนการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุและไม่ใช้การแก้ปัญหาที่ดีนัก เพราะจริงๆ แล้วจุดประสงค์ของการให้อยู่ในกรง หรือการล่ามนั้น ทำเพื่อจำกัดขอบเขตที่อยู่อาศัยของสุนัข ให้สุนัขเรียนรู้ว่าพื้นที่ที่เป็นของเขาคือบริเวณใด โดยการใช้วิธีให้เข้ากรงหรือล่ามนั้นจะไม่ได้ทำตลอดเวลา แต่จะทำเมื่อถึงเวลาอันสมควรหรือมีเหตุจำเป็น เช่น เข้านอน , เจ้าของไม่อยู่บ้าน , มีคนแปลกหน้ามาเป็นแขกที่บ้าน ซึ่งถ้าหากผู้เลี้ยงเข้าใจจุดประสงค์ในส่วนนี้การจำกัดบริเวณโดยให้สุนัขอยู่ในกรง หรือล่ามไว้ จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาในด้านพฤติกรรม     แต่ถ้าหากผู้เลี้ยงไม่เข้าใจ ขังสันัขให้อยู่ในกรงหรือล่ามเขาเอาไว้ตลอดทั้งวัน แน่นอนค่ะว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นแน่ๆ คือ สุนัขมีเกิดสภาวะเครียด เนื่องจากถูกกังขังตลอดเวลา ทำให้ไม่สามารถทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อเป็นการปลดปล่อยพลังงานได้ ซึ่งเมื่อมีสภาวะเครียดนานๆ ก็จะส่งผลให้เกิดพฤติกรรมก้าวร้าวต่างๆ เช่น เห่าหอนตลอดเวลา , กัดแทะของที่อยู่ใกล้ตัว , แสดงอาการเกรี้ยวกราดดุร้ายทันทีเมื่อได้รับการปลดปล่อย และต่อต้านการอยู่ในกรงหรือถูกล่าม
     ดังนั้น ผู้เลี้ยงจึงควรทำความเข้าใจถึงการจำกัดพื้นที่สุนัขด้วยการใช้กรงหรือล่ามว่าทำเพื่ออะไร และควรมีวิธีฝึกให้อยู่ในกรงหรือเดินมาหาโซ่ล่ามอย่างถูกวิธี เพื่อที่จะให้รู้สึกคุ้นเคยและไม่หวาดกลัวการถูกจำกัดบริเวณ จำไว้นะคะว่า การให้สุนัขเข้ากรง หรือ ล่ามโซ่ ไม่ควรใช้กับการทำโทษ แต่ใช้เพื่อฝึกให้สุนัขมีระเบียบวินัยและรู้จักพื้นที่ของตัวเองเท่านั้น   

ที่มา http://www.dogilike.com/content/train/1901/

เตรียมความพร้อมก่อนเลี้ยงสุนัข


การเตรียมความพร้อมก่อนการเลี้ยงสุนัข

ปัจจุบันมนุษย์ได้เลี้ยงสัตว์เลี้ยงมากมายหลายชนิดเช่น หมา แมว นก ปลา หนู และอื่น เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้เลี้ยงแต่ละคน ยกตัวอย่างเช่น บางคนเลี้ยงเพื่อความบันเทิงใจ บางคนเลี้ยงเพราะชอบสัตว์นั้นๆ บางคนเลี้ยงเพราะเหงา บางคนเลี้ยงเพราะอยากเลี้ยงเล่นๆ เลี้ยงเพราะมีตังค์ เลี้ยงเพราะแฟชั่น หรือเลี้ยงเพราะอยากลองทำอะไรใหม่ๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วก่อนที่คุณๆจะเลี้ยงสัตว์เลี้ยง คุณควรที่จะตรวจสอบความพร้อมในหลายๆด้านก่อนที่จะเลี้ยง เพื่อที่จะให้สัตว์เลี้ยงของคุณเป็นสัตว์เลี้ยงที่ดี มีคุณภาพ มีทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดี ซึ่งตรงนี้ก็จะส่งผลดีต่อผู้เลี้ยงและ Stakeholders หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย(ผู้ที่เกี่ยวข้อง)กับการเลี้ยงสัตว์ของคุณๆอีกด้วย
นอกจากนี้เรายังเห็นได้ทั่วไปว่า ปีๆหนึ่งมีสุนัขจรจัดอยู่ที่วัดวาอารามอย่างมากมาย ไหนจะแมว พวกนี้จะเป็นปัญหาสังคม พระควรจะได้ประพฤติปฎิบัติธรรม ไม่ใช่มาเลี้ยงหมาเลี้ยงแมว ดังนั้นก่อนที่คุณจะเลี้ยงสัตว์ใดๆก็ตาม จะส่งผลดีกว่าถ้าคุณได้ลองตรวจสอบความพร้อมของตัวคุณเองว่าในที่สุดจะเลี้ยงเค้ารอดหรือปล่า เมื่อเห็นถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมก่อนเลี้ยงสัตว์แล้ว เราลองมาดูกันว่าความพร้อมที่ว่าประกอบด้วยอะไรกันบ้างดังต่อไปนี้
1. สถานที่
สิ่งนี้สำคัญมาก ถ้าจะเลี้ยงแมวก็คงไม่เท่าไหร่แต่ถ้าเลี้ยงสุนัขแล้วไม่มีที่ให้มันวิ่งอาจจะส่งผลเสียต่อตัวสุนัขได้ มันอาจปรับสภาพไม่ได้หรือได้ก็ไม่ดี หมาไม่มีที่วิ่งจะอ้วน และดูไม่สวยงาม อาจจะต้องจับมันไปออกกำลังกาย ถ้าคุณไม่มีสถานที่ที่เหมาะสม ก็ไม่สมควรที่จะรับเค้ามาเลี้ยง ปัญหาที่พบได้บ่อยคือเลี้ยงสุนัขตัวใหญ่ไว้ในทาวส์เฮ้าส์ สถานที่คับแคบมันก็ไม่สามารถวิ่งเล่นไปไหนได้ ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของมันได้ อาจเป็นเพราะว่าไม่ตรงกับสถานที่ตามธรรมชาติของมัน ดังนั้นเลือกสัตว์ให้เหมาะกับสถานที่จะดีกว่าค่ะ
2. ผู้เลี้ยง
ถ้าผู้เลี้ยงมีความรักและเอาใจใส่ในตัวสัตว์เลี้ยงแล้วล่ะก็ปัญหาต่างๆก็จะลดน้อยลง เพียงแต่ว่าเวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยน เมื่อตอนมันเป็นลูกหมาก็รักแสนรัก พอมันโตก็เริ่มปล่อยประละเลย สกปรก คุณต้องรับผิดชอบเค้าไปตลอดชีวิต ก็ต้องฉีดตามกำหนด ยิ่งหมานี่อันตรายมากมันพร้อมจะไปกัดคนแปลกหน้าได้ตลอดเวลา ตรงนี้อาจมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น ด้านสภาวะทางจิตใจของผู้เลี้ยงสำคัญมากเช่นกัน ถ้าผู้เลี้ยงจิตตกล่ะก็ น้องหมาแมวมันก็คงจะแย่เหมือนกัน ก็ผู้เลี้ยงอาจจะเอ็ดเอาบ่อยๆได้
3. ความรู้ในการเลี้ยง
อันนี้อาจค่อยๆฝึกกันได้ระหว่างเลี้ยงนะแต่มันเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะบางทีความไม่รู้ของเราสามารถฆ่าสัตว์เลี้ยงแสนรักโดยที่เราไม่รู้ตัว คุณๆต้องแน่ใจว่าตนเองมีความรู้เพียงพอที่จะเอาพวกเขามาเลี้ยงได้ ไม่อย่างนั้นก็ศึกษาหาความรู้ให้พร้อมก่อน อ่านหนังสือ ค้นหาทางอินเตอร์เน็ต แล้วค่อยตัดสินใจก็ได้ เลี้ยงสัตว์ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันก็คงไม่ยากจนเกินไป 
4. เดี่ยวมือสอง
แน่นอนว่าคุณคนเดียวไม่สามารถจะเอาเจ้าสัตว์เลี้ยงแสนรักอยู่ บางทีคุณอาจจะต้องมีธุระปะปังกับเพื่อนฝูง หรือออกไปทำธุระข้างนอก จำเป็นอย่างยิ่งครับที่ต้องหาคนอื่นมาเลี้ยงเป็นตัวสำรอง ส่วนมากที่เห็นมักตกอยู่กับคนในบ้านเป็นส่วนใหญ่ กรณีไม่อยู่ก็มักจะเป็นเพื่อนบ้านหรือไม่ก็เอาไปฝากไว้กับญาติ ควรจะแน่ใจนะครับว่าพวกเค้าเหล่านั้นยินดีที่จะดูและเจ้าสัตว์เลี้ยงแสนรักของคุณ ไม่ใช่ทำๆกันแบบขอไปที นอกจากนี้พวกเขามีความรู้แค่ไหนในการจัดการสัตว์ตัวน้อยๆของคุณ แมวหรือสุนัขบางพันธุ์มีพฤติกรรมพิเศษ ต้องดูให้ดีด้วย
5. ความเข้ากันระหว่างสัตว์ตัวใหม่กับสัตว์เดิมที่มีอยู่
อันนี้เป็นกรณีที่ที่บ้านของคุณมีสัตว์เลี้ยงอยู่แล้ว แล้วคุณนำสัตว์ตัวใหม่เข้าบ้าน คุณควรจะตรวจสอบให้รอบคอบซะก่อนว่ามันเคยเป็นคู่อริกันมาก่อนมั้ย มันเป็นโจทย์เก่ากันมาก่อนหรือไม่ สายพันธุ์มันจะเข้ากันได้มั้ย นิสัยตัวเดิมเป็นอย่างไร แล้วถ้าเกิดเอาเข้าจริงแล้วเข้ากันไม่ได้เลยจะมีแผนสำรองอย่างไร 
6. สถานะทางการเงินของผู้เลี้ยง
หลายคนอาจคิดว่าไม่สำคัญ แต่ถ้าคุณต้องการจะเลี้ยงสัตว์เลี้ยงของคุณให้อยู่ในสภาพที่ดี สมบูรณ์แล้วล่ะก็ขอบอกว่าอย่ามองข้ามไปเป็นอันขาด 
7. สายพันธุ์กับความต้องการของผู้เลี้ยง
ต้องเลือกให้ตรงกับความต้องการของเรา เช่นหากเลือกสุนัขตัวใหญ่ ขี้เล่น คุณพร้อมที่จะสละเวลาเพื่อเล่นกับเค้าหรือไม่ ถ้าบ้านของคุณมีเด็กเล็กๆก็ไม่ควรที่จะเลือกพันธ์ที่ดุ หรือ ขนเยอะเพราะอาจทำให้เด็กเป็นภูมิแพ้ได้
8. ภูมิอากาศ
ยกตัวอย่างสุนัขบางสายพันธุ์เป็นสุนัขเมืองหนาว ขนยาวสวย แต่พอมาบ้านเรากลายเป็นหมดสง่าราศีไปเลย หมาเมืองหนาวต้องได้รับการดูแลรักษาเป็นพิเศษ เช่น คุณควรมีมีบริเวณที่เย็นๆให้ ไม่อยู่ในที่ชื่นแฉะเพราะพวกเค้าจะชอบเอาตัวไปแช่เพื่อคายร้อนและหารเราไม่รักษาความสะอาดให้มันอาจเป็นขี้นเรื้อนหรือปอดบวมได้
9. การเสี่ยงต่อการถูกขโมย
สัตว์เลี้ยงบางพันธุ์ราคาสูงมาก เหมาะแก่การถูกขโมยเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งสัตว์พวกหมาแมวนกแล้วเนี่ยโดนขโมยง่าย ท่านอาจจะต้องคิดว่าแถวบ้านท่านมีความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน คงต้องคำนึงถึงข้อนี้ด้วย
10. สภาพแวดล้อมรอบๆสถานที่เลี้ยงสัตว์
ถ้าคนในหมู่บ้านของท่านไม่นิยมการเลี้ยงสัตว์ล่ะก็ ท่านอาจจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ไอ้ปัญหาเรื่องพอตื่นเข้าขึ้นมาเจออึสุนัขอยู่หน้าบ้านี่ชวนให้เกิดการทะเลาะกันได้ ส่วนถ้าแถวๆบ้านท่านมีสุนัขเยอะ เรื่องการผสมพันธุ์กับสุนัขของท่านอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้ถ้าสุนัขของท่านเป็นเพศเมีย 
11. การลงทุน/การขายต่อหรือขายลูกหลานของสัตว์เลี้ยง
หลายๆท่านอาจมองเรื่องการเลี้ยงสัตว์เป็นการลงทุนบ ถ้าเป็นไปได้ คิดจะเลี้ยง ก็ลองหาสายพันธุ์ที่มีราคา หรือคนเล่นกันเยอะก็ดี เผื่อมันออกลูกออกหลาน ท่านอาจนำไปขายต่อได้ราคาดีก็เป็นได้ ส่วนท่านที่มีใจรักโดยไม่ได้คิดเรื่องการขายลูกขายหลานของสัตว์เลี้ยง เพียงแต่นี่ก็เป็นอีกหัวข้อหนึ่งที่น่าจะคิดไว้ก่อนการนำสัตว์มาเลี้ยงในบ้าน

การเตรียมตัวก่อนการเลือกซื้อสุนัขไม่ได้มีเพียงเท่านี้ แต่ยังมีอีกหลายประการ แต่ทุกคนที่จะตัดสินใจเลือกซื้อสุนัข ควรมีความพร้อมพื้นฐานในทุกๆด้าน และรักพวกเขาดังสมาชิกในครอบครัวเพื่อลดการเกิดสุนัขถูกทอดทิ้งให้น้อยที่สุดค่ะ

10อันดับ สุนัขยอดนิยม

10 อันดับสุนัขยอดนิยม


10. ชิ วา วา (พันธุ์ขนเรียบ - Chihuahua smooth coat)

          สุนัขในกลุ่ม Toy Group ยังคงครองอันดับ 10 อย่างอยู่ตัว ตั้งแต่ ปี 2545 เป็นสุนัขพันธุ์เล็ก ขนาดพกพา ตาโต ถิ่นกำเนิดมาจากประเทศเม็กซิโก อดีตเป็นสัตว์ที่เป็นอาหารและถูกบูชายัญ มีสองสายพันธุ์ คือ พันธุ์ขนเรียบ และพันธุ์ขนยาว ชิ วา วา มีความสูงไม่เกิน 5 นิ้ว มีน้ำหนักเฉลี่ย 0.9 - 2.7 กิโลกรัม จัดว่าเป็นสุนัขพันธุ์ที่เล็กที่สุดในโลก มีทั้งสีขาว สีน้ำตาลอ่อน สีทราย สีดำ อาจมีสีเดียวอย่างแดงน้ำตาล ทอง หรือสลับขาวน้ำตาล หัว หน้าผากต้องกลมโค้งเป็นรูปแอปเปิล หูตั้ง ปากสั้นแหลม ขนสั้น ถ้าเป็นพันธุ์ขนยาวจะไม่หยิกม้วน สุนัขพันธุ์นี้หลายคนต่างหลงใหล เพราะเป็นสุนัขที่ซื่อสัตย์ มีเสน่ห์ ขี้ประจบ เป็นสุนัขเฝ้าระวัง เตือนภัยได้ดี เหมาะสำหรับบ้านที่มีพื้นที่ไม่มาก แต่ไม่ชอบอากาศเย็น ราคาจำหน่าย ทั่วไปเริ่มต้นที่ 4,000 - 10,000 บาท ระดับประกวด ราคา 10,000 บาท ขึ้นไป


9. บีเกิ้ล (Beagle)


          สุนัขในกลุ่ม Hound Group สุนัขล่ากระต่ายในอดีต มีหูที่ยาวปรกลง มีทั้งพันธุ์ธรรมดา มีความสูงประมาณ 13 - 15 นิ้ว หนัก 18 - 20 ปอนด์ และพันธุ์อลิซาเบธ บีเกิ้ล (Elisabeth beagle) มีความสูงไม่เกิน 12 นิ้ว มีน้ำหนักไม่เกิน 20 ปอนด์ บีเกิ้ล มีถิ่นกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ เป็นสุนัขรักสันติ รักเด็ก ไม่เพียงเป็นสุนัขล่าสัตว์อย่างกระต่ายในอดีต ในหลายร้อยปีก่อนบีเกิ้ลยังถูกนายพรานควบคุมเป็นฝูง เพื่อนำไปล่าหมาป่า กวาง แต่ในระยะหลังใช้บีเกิ้ลเป็นสุนัขคาบนกที่เจ้าของล่าได้ เนื่องจากบีเกิ้ลสืบสายพันธุ์มาจากสุนัขดมกลิ่น ประสาทในการรับกลิ่นดีเยี่ยม แต่สำหรับผู้เลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้ คงไม่ดีแน่หากหวังจะใช้เป็นสุนัขเฝ้าบ้าน เพราะความเป็นสุนัขสังคม ไม่ชอบยึดอยู่กับสิ่งใดเพียงสิ่งเดียว อาจทำให้บีเกิ้ลหงุดหงิดได้ง่าย บีเกิ้ลจึงเหมาะที่จะเลี้ยงไว้เพื่อสร้างมิตรภาพกับบุลคลในครอบครัวมากกว่า ลักษณะทั่วไปของบีเกิ้ล มักมีขนสามสีบนตัว คือ สีขาว สีดำ และน้ำตาล สีที่อกโดยมากเป็นสีขาว ส่วนสีดำกับสีน้ำตาลนั้นจะอยู่บนลำตัว และแผ่นหลังด้านใต้ท้องก็จะเป็นสีขาวเช่นกัน หน้าผากจะตั้งชัดเจน ใบหูยาวปรกลง ขนสั้นตรง หางยาวปานกลาง ค่อนข้างตรงชี้ขึ้น ขนาดกะทัดรัด รูปร่างแข็งแรง ราคาจำหน่าย ระดับประกวด 15,000 บาท ขึ้นไป ระดับเลี้ยงเล่น ประมาณ 10,000 - 15,000 บาท


8. ยอร์กไชร์เทอร์เรีย (Yorkshire Terrier)

          สุนัขในกลุ่ม Toy Group สุนัข ตัวน้อย ขนยาว เส้นบาง มันวาวสลวย มีถิ่นกำเนิดในประเทศอังกฤษ ถือว่าเป็นสุนัขสวยงามมาก เป็นสัตว์เลี้ยงที่มีชีวิตชีวา รักเจ้าของ ขี้ประจบ สามารถปรับตัวให้เข้ากับชีวิตสังคมเล็กๆ เช่น ในอพาร์ทเมนท์ได้ดี ลักษณะทั่วไป มี 2 สีบนตัว สีน้ำตาลทองจะมีอยู่บนใบหน้า อก ท้อง และบริเวณปลายเท้า เส้นขนจะมีสีดำน้ำเงินที่โคนไล่ลงมาถึงตอนกลาง และจะมีสีน้ำตาลทองที่ส่วนปลายหัว ขนข้างจะมีขนาดเล็ก และเรียบไม่นูนกลม ปากแหลมยาวสมส่วน จมูกจะมีสีดำสนิท หูตั้งเป็นรูปตัววี มีขนสั้นๆ สีทองปกคลุม ขนยาวตรงปกคลุมทั้งตัว เท้าค่อนข้างกลมมีเล็บเท้าสีดำ ขาหน้าจะเหยียดตรง ขาหลังมองจากด้านข้างจะโค้งลงที่เข่าเล็กน้อย หางตัดสั้น สุนัขพันธุ์นี้ไม่เหมาะกับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลา เพราะต้องดูแลเรื่องขนเป็นพิเศษ เป็นสุนัขที่ให้ลูกยาก ราคาจำหน่าย ระดับเลี้ยงเล่นทั่วไป ประมาณ 8,000 - 20,000 บาท มากกว่านั้นเป็นสุนัขในระดับประกวด


7. บูลล์ด็อก (Bulldog)

          สุนัขในกลุ่ม Non - Sporting Group เห็น รูปร่างตันๆ กำยำ ดูแข็งแรงอย่างนี้ แต่เป็นที่โปรดปรานของผู้เลี้ยงสุนัขพอสมควร มีถิ่นกำเนิดจากประเทศกรีก ในอดีตเป็นสุนัขที่ใช้ต่อสู้กับวัว ซึ่งถือเป็นกีฬาชนิดหนึ่งในสมัยนั้น แต่ต่อมากีฬาสู้วัวถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย จึงเกิดการพัฒนาสายพันธุ์ให้มีเลือดนักสู้ลดลง จนกลายเป็นสุนัขที่กล้าหาญแต่วางใจได้ ไม่ดุร้ายเหมือนรูปร่าง บูลล์ด็อก มีน้ำหนัก 25 กิโลกรัม สูงเต็มที่เพียงฟุตเศษ ลักษณะเด่นคือ หัวกลม มีปากและบริเวณใบหน้าย่น ห้อย ขนเกรียนสั้นตรงและเรียบ นิ้วเท้าเวลายืนเหมือนยกขึ้น ขาหน้าตรง เวลายืนแล้วจะกางออกเล็กน้อย หางสั้น โดยมากจะเป็นสีเดียวทั้งตัว แต่มีสีดำที่ใบหน้า ปาก หน้าอก แต่ตอนนี้นิยมสีน้ำตาลลูกวัว ผู้เลี้ยงอาจต้องทำใจไว้ด้วยว่า ตัดสินใจเลี้ยงสุนัขที่นอนกรน และต้องระวังเรื่องอากาศร้อนเป็นพิเศษ ราคาจำหน่ายระดับสุนัขเลี้ยงทั่วไป เริ่มต้นที่ 10,000 บาท หากเป็นบูลล์ด็อกระดับประกวด 15,000 บาท ขึ้นไป


6. ร็อตต์ไวเลอร์ (Rottweller)

          สุนัขในกลุ่ม Working Group สุนัขพันธุ์นี้มีถิ่นกำเนิดจากประเทศเยอรมนี มีสีดำ มีแต้มด่างสีน้ำตาลเด่นชัด บริเวณขอบตา ปาก หน้าอก ขาท่อนล่าง และใต้ฐานของหาง ขนสั้น เป็นสุนัขที่มีกล้ามเนื้อชัดเจน ดูสมส่วน ใบหูปรก นิยมตัดหางให้สั้น สุนัขพันธุ์ร็อตต์ไวเลอร์ ที่ตกเป็นข่าวบ่อยครั้งด้วยความดุร้าย ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่มาจากสัญชาตญาณสัตว์ที่ต้องเอาตัวรอดตั้งแต่อดีต มีประวัติยาวนานตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ในฐานะสุนัขนักล่าและสุนัขเฝ้ายาม แต่ร็อตต์ไวเลอร์ในปัจจุบันได้รับการปรับปรุงสายพันธุ์จนได้ชื่อว่า เป็นสุนัขที่มีความฉลาด ชอบการสัมผัสอย่างทะนุถนอม และสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว หากได้รับการฝึกฝนที่ดี จะเป็นสุนัขที่เชื่อฟังคำสั่ง ใจเย็น เป็นทั้งเพื่อนและยามที่ดีของครอบครัว ด้วยลักษณะภายนอก ความแข็งแรง ความฉลาดของสุนัขพันธุ์นี้ เหมาะสำหรับผู้เลี้ยงปศุสัตว์ เพราะมีพื้นที่ให้สุนัขออกกำลังกายได้มากกว่า แต่ก่อนเลือกซื้อ ผู้เลี้ยงควรตัดสินใจให้รอบคอบก่อนว่าเหมาะกับตนหรือไม่ ศึกษาสายพันธุ์ที่ดี เพราะอาจกลายเป็นสุนัขที่ก้าวร้าวเกินควบคุม ราคาจำหน่ายลูกสุนัข ระดับประกวด 10,000 บาท ขึ้นไป ระดับเลี้ยงเล่น 4,000-10,000 บาท


5. ไซบีเรียน ฮัสกี้ (Siberian Husky)

          จัดอยู่ในกลุ่ม Working Group สุนัขลากเลื่อนที่มีท่วงท่าสง่างาม มีถิ่นกำเนิดจากเอเชียตอนเหนือ มีความอดทนแข็งแรงดีเลิศ อดีตเป็นสุนัขใช้งานลากเลื่อนในเมืองหนาว นับเป็นสัตว์ที่ปรับตัวเก่ง ใจดี ไม่ก้าวร้าว ไซบีเรียน ฮัสกี้ เป็นสุนัขที่มีขนสองชั้น สีพื้นเป็นสีน้ำตาล ดำ เทา แต่ใบหน้าต้องมีสีขาวเท่านั้น ขอบตาเป็นสีดำ ขนสั้นตรงฟู แน่น หัวมีขนาดปานกลาง ดูสมส่วนกับขนาดลำตัว ใบหูตั้งตรง รูปตาเรียว หางฟูพอง มักจะโค้งเป็นพวงขึ้นบนหลังคล้ายกับสุนัขจิ้งจอก ต้องการออกกำลังกายเป็นหลัก จุดเด่นของสุนัขพันธุ์นี้คือ มีความอดทนสูงมาก ทำงานได้ดังหุ่นยนต์ รักเจ้านาย ครอบครัว หรือแม้แต่สุนัขด้วยกันเอง สามารถปรับตัวให้เข้าได้กับสภาพอากาศ วิ่งเร็วมาก สามารถเป็นสุนัขเฝ้ายามที่ดี แต่มักทำตัวเป็นจ่าฝูง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้เลี้ยงที่มีความกระฉับกระเฉง ราคาจำหน่าย ระดับเลี้ยงเล่นทั่วไป ประมาณ 8,000-15,000 บาท ระดับประกวด 15,000 บาท ขึ้นไป


4. ปั๊ก (Pug)

          จัดอยู่ในกลุ่ม Toy Group สุนัขพันธุ์ตัวเล็กหน้าย่น มีถิ่นกำเนิดจากประเทศจีน มีประวัติยาวนานกว่า 2,500 ปี เป็นสุนัขที่นิยมมากของชาวพุทธในสมัยโบราณ ด้วยมีความเชื่อที่ว่า ปั๊ก เป็นสัตว์เลี้ยงมงคล เพราะลักษณะรอยย่นของใบหน้ามีความหมายตามความเชื่อที่ดี เป็นสิริมงคลต่อผู้เลี้ยง ปัจจุบันเป็นที่แพร่หลายทั่วโลก ปั๊ก เป็นสุนัขรักเด็ก ร่าเริง กระตือรือร้น มีน้ำหนักไม่เกิน 9 กิโลกรัม สูงไม่เกินฟุต มีลักษณะใบหน้าสีดำเหมือนใส่หน้ากาก ขนสั้นละเอียดนุ่ม ลำตัวมีกล้ามเนื้อ ลักษณะทั่วไป กลม ใหญ่ จมูกสั้น ปากสั้น กระหม่อมไม่โค้ง มีรอยย่นที่หัว ปาก แก้มนิ่ม เท้ากลม ฝ่าเท้าแผ่ มีกล้ามเนื้อที่ขาทั้ง 4 ชัดเจน หางม้วนเป็นเกลียวอยู่บนแผ่นหลังตรงสะโพก แต่สิ่งที่ผู้เลี้ยงต้องระวังคือไม่ให้อ้วนจนเกินไป อีกทั้งต้องดูแลเรื่องอากาศ เนื่องจากเป็นสุนัขที่มีโพรงจมูกสั้น อาจมีปัญหาเรื่องการหายใจ ราคาจำหน่ายทั่วไปเริ่มต้นที่ 4,500 บาท ระดับประกวด 12,000 บาท ขึ้นไป


3. ชิ สุ (Shih Tsu)

          สุนัขในกลุ่ม Toy Group ชิ สุ มีถิ่นกำเนิดจากประเทศจีน ได้ชื่อว่า "สุนัขพันธุ์ราชสีห์" เพราะมีขนแผงคอเหมือนสิงโต อีกทั้งท่าทางการเดินหรือเคลื่อนไหวที่สง่างาม เดินตรงเชิดหน้าคอเหยียดและมีพวงหางขนยาวจะปกคลุมลงบนหลังชัดเจน ในอดีตจึงเป็นสุนัขที่เลี้ยงกันในราชสำนักของจักรพรรดิ นับเป็นสิ่งสูงค่าสำหรับสามัญชน เป็นสุนัขที่มีชนชั้น ชิ สุ เมื่อโตเต็มที่น้ำหนักไม่เกิน 18 ปอนด์ สูงประมาณ 9 - 10.5 นิ้ว รูปร่างเล็กแต่มีขนยาว เป็นขนสองชั้น หนา ยาวตรงหรือเป็นคลื่นเล็กน้อยปกคลุมลำตัว ขนบนหัวควรผูกรวบให้เรียบร้อย ป้องกันดวงตา ขนที่ก้นและเท้าต้องตัดให้เรียบร้อยเช่นกันเพื่อความสะอาด สุนัขพันธุ์นี้ต้องการการแปรงขนทุกวัน ผู้เลี้ยงต้องมีเวลาในการแปรงขนอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง ลักษณะของชิสุ ที่ดี ควรมีลักษณะขนยาว ไม่ม้วนหยิก สีของขนเป็นสีผสมกันของสีดำ น้ำตาล ขาว มีสีขาวเป็นสีพื้น ส่วนกะโหลกกว้างอย่างสมดุล ตากลมโต นัยน์ตาสีดำ หรือจะเป็นสีน้ำตาลสีตับ แววตาร่าเริงแจ่มใสและเป็นมิตรต่อทุกสิ่ง ส่วนปากสั้นยาวไม่เกิน 1 นิ้ว และไม่มีรอยย่นของผิวหนังรอบปาก ปากไม่แหลม คางไม่ยื่น คอควรตั้งตรงยาวได้สัดส่วนกับลำตัว ลักษณะลำตัวของ ชิ สุ ต้องมีความยาวของลำตัวมากกว่าความสูงเล็กน้อย อกใหญ่ ลึก หางจะต้องโค้งตั้งขึ้นมาบนหลัง ไม่ห้อยลง มีขนขึ้นเป็นพวงสวยงาม แม้ ชิ สุ จะเป็นสุนัขขนาดเล็ก แต่ก็ได้ชื่อว่า "เล็กแต่อึด" หากมีสุขภาพดีจะเป็นสัตว์ที่มีความทรหดอดทนสูง มีความแข็งแรงดุจสุนัขใช้งาน แต่ข้อดีของสุนัขพันธุ์ ชิ สุ ที่สร้างเสน่ห์อย่างดีก็คือ ฉลาด เป็นมิตร มีเสน่ห์ ไม่ดุร้าย ไม่เจ้าอารมณ์ เหมาะสมกับบ้านทุกชนิด จากสิถิติที่ผ่านมา ชิ สุ เป็นสุนัขพันธุ์เล็กที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหตุอาจเพราะปัจจุบันผู้นิยมเลี้ยงสุนัข มีที่อยู่อาศัยที่เล็กลง ส่งผลให้สุนัขพันธุ์เล็กเพิ่มจำนวนมากขึ้นไปด้วย และด้วยการขยายพันธุ์ที่ง่ายกว่า ชิ สุ จึงมาแรงแซงสุนัขพันธุ์เล็กพันธุ์อื่น รวมถึงลักษณะขนและหน้าตาสร้างความเพลิดเพลินในการเลี้ยงดูของเจ้าของที่ชอบแต่งตัวให้สุนัข แต่คงไม่เหมาะนักสำหรับเจ้าของที่ไม่มีเวลา ราคาจำหน่าย ระดับประกวด 15,000 บาท ขึ้นไป ระดับเลี้ยงเล่น 3,500 - 15,000 บาท ทั่วไปเริ่มต้นที่ 2,500 บาท


2. โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ (Golden Retriever)

          สุนัขในกลุ่ม Sporting Group โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ มีถิ่นกำเนิดจากประเทศอังกฤษ ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์มามากกว่า 200 ปี ในอเมริกา เป็นสุนัขขนาดกลาง ตัวผู้สูงราว 23 - 24 นิ้ว หนักประมาณ 64 - 70 ปอนด์ ตัวเมีย สูง 21- 23 นิ้ว น้ำหนัก 60 - 70 ปอนด์ มีสีหลายระดับสี มักจะเป็นสีออกครีมถึงสีเหลืองทอง จนถึงกึ่งเข้มแดงมะฮอกกานี เป็นสุนัขที่มีลักษณะหัวกว้าง และมีช่วงปากที่แข็งแรง ตาสีน้ำตาล หูค่อนข้างใหญ่เป็นรูปสามเหลี่ยม ปรกลงมาด้านข้าง มีขน 2 แบบ คือเรียบกับเป็นลอน ขาหน้าตรงแข็งแรง เท้ากลมคล้ายเท้าแมว ลักษณะหางชี้ตรงระดับเดียวกับหลัง ขนบริเวณหางจะยาวและหนา นอกจาก ความสวยของขนที่มันวาว สวยงาม ทำให้สุนัขพันธุ์นี้ได้รับความนิยมมาก โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ยังได้รับสมญานามว่า "หมาใจดี" บ่อยครั้งที่ภาพความผูกพันระหว่างเจ้าตูบโกลเด้นกับเด็กๆ มักมีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง นั่นเพราะมีลักษณะนิสัยเป็นมิตร และสุภาพเป็นเลิศ ใจดี ซื่อสัตย์ มีความสามารถพิเศษในการจดจำ ง่ายต่อการฝึกฝน กระฉับกระเฉง และคาบสิ่งของได้ดี ในอดีตจึงมักใช้งานเพื่อหานกที่ถูกยิงตกนำมาให้เจ้าของ โกลเด้น รีทรี ฟเวอร์ เคยเป็นสุนัขยอดนิยม มีผู้เข้าขอจดทะเบียนมากเป็นอันดับ 1 ในปีก่อน แต่ปีล่าสุดนี้ กลับถูกสุนัขพันธุ์เล็กแซงหน้าไปเสียแล้ว ราคาจำหน่ายปัจจุบัน สุนัขระดับประกวด ประมาณ 15,000 บาท ขึ้นไป สุนัขเลี้ยงเล่น 6,000 - 15,000 บาท ระดับทั่วไป หรือสุนัขบ้าน เริ่มต้นที่ 3,000 บาท


1. ปอมเมอเรเนี่ยน (Pomeranian)

          สุนัขในกลุ่ม Toy Group ปอมเมอเรเนี่ยน มีถิ่นกำเนิดจากประเทศเยอรมนี เป็นสุนัขพันธุ์เล็กที่กำลังมาแรงอย่างต่อเนื่อง ขึ้นจากอันดับ 3 ในปีก่อน ด้วยความเล็กกะทัดรัด ขนฟูดูสวยงาม ใบหน้าแหลมเล็ก หลายคนหลงใหลในความน่ารักของสุนัขพันธุ์นี้ ลักษณะโดยทั่วไป มีความสูงโดยเฉลี่ยไม่เกินฟุต หรือประมาณ 20 เซนติเมตร หัวกลม ใบหน้ามีส่วนคล้ายสุนัขจิ้งจอก ปากเรียวแหลม ส่วนหัวและใบหน้ามีขนสั้น ตากลมโตและโปนเล็กน้อย หูเล็กเป็นรูปสามเหลี่ยมตั้งตรงและชิดกัน จมูกดำกลม ขนยาวฟูฟ่องทั่วลำตัว ขนสีดำ โกโก้ แดง ส้ม ขาว เหลือง บางตัวมีหลายสีปนกัน ขนทั้งตัวจะปกคลุมด้วยขนยาว ดก ฝ่าเท้านิ่ม ขนหางเป็นพวงโค้งเป็นวงกลมออกด้านข้าง นอกจากความเล็กน่ารักแล้ว ความฉลาด ซื่อตรงและร่าเริง ปฏิภาณไหวพริบดี และขี้ประจบของปอมเมอเรเนี่ยน ยังเป็นจุดเด่นที่ทำให้เจ้าของต่างหลงใหล แต่ขณะเดียวกันความเล็กของสุนัขพันธุ์นี้จึงมักมีผลต่อการขยายพันธุ์ที่ค่อนข้างลำบาก ให้ลูกน้อย ราคาจำหน่าย ระดับเลี้ยงเล่น 8,000 - 20,000 บาท ระดับประกวด 20,000 บาท ขึ้นไป


ที่มา http://www.toptenthailand.com/1723-top.html

วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2556

รายชื่อสมาชิก

รายชื่อสมาชิก


 1.กฤตวรรณ           ลีลาศเจริญ                 เลขที่ 5
 2.กีรติกา                 อุรัสยะนันทน์              เลขที่ 9
   3.พนิดา                  สุธรรมชัย                    เลขที่ 27
   4.รัสริน                    ศรีม่วง                         เลขที่ 33
   5.วนัชพร                โพธิ์ชื่น                        เลขที่ 34
   6.สินีภัคฐ์                พรหมชัยวัฒนา          เลขที่ 40
 7.ณฐมณฑ์            งามกนก                      เลขที่ 44

มัธยมศึกษาปีที่ 5.14